Tuesday, December 23, 2008

Eureka

เมื่อคืนก่อนตอนเที่ยงคืน ผมสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงสัญญาณกันขโมย ก็เลยลุกงัวเงียเดินไปแง้มหน้าต่างเพื่อดูว่ารถตูหรือเปล่าวะ, อ้าวฉิบหายแล้ว รถเรานี่เอง ตอนนั้นสิ่งที่นึกในหัวก็คือ "เอาอีกแล้วไอ้เจ้าสัญญาณกันขโมยเฮงซวย" ที่คิดอย่างนั้นก็เพราะช่วงหลังๆ สัญญาณกันขโมยผมมันชอบร้องโวยวายโดยไม่มีสาเหตุ ร้องจนผมเลิกล็อครถตอนจอดอยู่ในบ้านแล้ว

หลังจากรู้ว่ารถตัวเองแน่นอน ก็เลยรีบวิ่งลงไปข้างล่างเพื่อไปหากุญแจมาปิดสัญญาณ(ไม่อยากให้เพื่อนบ้านหนวกหู) แต่ค้นเท่าไรก็ไม่เจอ อารมณ์โมโหเริ่มครอบงำ นึกกล่าวโทษภรรเมียว่าเก็บกุญแจไม่เป็นที่เป็นทาง

ตอนที่เดินหากุญแจในอยู่ ก็พบว่า อ้าวตู้เนี่ยทำไมเปิดอยู่ จัดการปิดซะเดินไปหาถึงประตูหลัง อ้าวประตูเปิดอยู่ นึกในใจ เด็กทำงานบ้านเราทำไมมันชุ่ยอย่างนี้ ไม่ยอมปิดประตูก่อนนอน ว่าแล้วก็ปิดประตูซะ ผ่านไปพักใหญ่สัญญาณก็หยุดทำงาน ก็เลยหยุดหาแล้วก็เปิดประตูหน้าบ้านออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอหมุนลูกบิดก็รู้สึกว่า อ้าวประตูไม่ได้ล็อก ดูเสร็จไม่พบอะไรก็ล็อกซะ

ตอนนั้นก็ไม่เอะใจอะไร เดินไปปลุกแฟน เอากุญแจไปซ่อนไว้ที่ไหนหามาให้เดี๋ยวนี้นะ
แฟนก็บอกว่าไม่ได้เอาไป แล้วก็เดินลงมาช่วยหา ซึ่งก็หาไม่เจออีก แฟนก็เลยเดินขึ้นไปปลุกเด็กที่ทำงานบ้าน เด็กก็บอกว่าไม่ได้เอาไป
เท่านั้นเอง ผมก็ตาสว่างร้อง Eureka!! ขโมยขึ้นบ้านกูนี่หว่า ว่าแล้วก็ลงไปสำรวจหลังบ้าน ก็ได้พบกุญแจรถยนต์สมใจ (ขโมยมันโยนทิ้งไว้)

เรื่องที่อยากเล่าให้ฟังจริงๆก็คือ วิธีการทำงานของสมองเรา สิ่งที่เราคิดเราเชื่อจะเป็นตัวกำหนดกรอบความคิดของเรา เมื่อเกิด event หนึ่งๆขึ้น สมองเราก็จะใช้เส้นทางที่มันถนัดที่สุดในการตีความ event นั้นๆ
ซึ่งการด่วนตัดสิน(ฟันธง, confirm) ก็จะทำให้เราพลาดการมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ

ยิ่งเราแก่ตัวลง ถ้าเรายึดมั่นในชุดความคิดใดความคิดหนึ่งมากๆ การคิดบ่อยๆเชื่อบ่อยๆ ก็จะยิ่งย้ำเส้นทางของ Neural network ในสมองเราให้เชื่อมกันแนบแน่นยิ่งขึ้น นี่เป็นสาเหตุที่เรามักพบว่า คนแก่มักจะหัวดื้อและไม่ยอมฟัง

นึกเปรียบเทียบกับสภาพบ้านเมืองตอนนี้ ขโมยขึ้นบ้าน(ภาวะเศรษฐกิจโลก) แต่เรายังหมกมุ่นกับเรื่องกุญแจไม่เลิก (แทนคำว่ากุญแจกันเอาเองนะ แทนได้หลายคำเลย)

Related link from Roti